กาหลอ
เป็นการละเล่นของชาวปักษ์ใต้อีกอย่างหนึ่ง เท่าที่พบในพัทลุง จะเป็นดนตรีที่ใช้ละเล่นหรือประโคมในงานศพ
ในหนังสือพจนะสารานุกรมของ อาจารย์เปลื้อง ณ นคร ได้ให้ความหมายของกาหลอไว้ว่า
" กาหลอเป็นดนตรีชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับประโคมในงานศพ " แต่มีบางท่านกล่าวว่า
" กาหลอเป็นงานแห่ในวันสงกรานต์ เพื่อความรื่นเริง และแสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวทีต่อผู้บังเกิดเกล้าของตน
"
อาจารย์กฤตวิทย์ ดวงสร้อยทอง เขียนเรื่อง "
กาหลอดนตรีงานศพ " ในวารสาร มศว.สงขลา ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 เอาไว้ตอนหนึ่งว่า
" กาหลอเป็นการละเล่นประกอบเครื่องดนตรี ซึ่งมักจะเล่นเฉพาะในงานศพ
ทำนองเดียวกันกับการสวดคฤหัสถ์หรือสวดมาลัย เข้าใจว่าคงนิยมเหมือนกับการเล่นซอพื้นเมืองของภาคเหนือ
ซึ่งเดิมก็เล่นเฉพาะในงานศพ การเล่นเป็นการเล่นที่สนุกสนาน และต้องมีฝีมือในการร้อง
และดนตรีโดยเฉพาะปี่กาหลอเป็นพิเศษ "
ความเป็นมาของกาหลอ
ความเชื่อเรื่องกาหลอ หรือตำนานกาหลอในหนังสือ
" ตลุง " ของ อาจารย์สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ กล่าวเอาไว้ว่า "
มีการละเล่นอีกอย่างหนึ่งที่น่าจะได้มาจากชาวมลายู ยุคอารยธรรมฮินดูเจริญเช่นกัน
คือ การเล่น " กาหลอ " ซึ่งเป็นดนตรีบรรเลงแต่เฉพาะงานศพเท่านั้น
คำว่า " กาหลอ " น่าจะมาจาก " กาล " หรือ " พระกาฬ
" ( สำเนียงมลายูถิ่น จะออกเสียงเป็นกาลอ ) หมายถึงพระอิศวร ซึ่งเป็นเทพแห่งความตาย
คู่กับเจ้าแม่กาลี ( ชาวภาคใต้เรียกคู่กันว่า กาหลา กาหลี ) เครื่องดนตรีก็เป็นแบบมลายู
แต่ไม่พบว่ามลายูเล่นดนตรีแบบนี้ ในยุคศาสนาอิสลาม เพราะประเพณีของอิสลาม
จะไม่เก็บศพไว้จนค้างคืน ตายวันไหนรีบนำไปฝังวันนั้น " จึงอาจจะเป็นไปได้ว่า
เดิมรับมาจากชวา มลายู แต่ตอนหลังเขาเลิกเล่น แต่ของไทยยังคงรักษาไว้ได้
ตำนานกาหลอซึ่งเล่าโดยผู้เล่นกาหลอ 2 ท่าน คือ นายเนื่อง เย็นทั่ว ต.หานโพธิ์
อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง กับ นายเพิ่ม เย็นทั่ว ต.ควนขนุน อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง
ในเรื่อง " กาหลอดนตรีงานศพ " ของ อาจารย์กฤตวิทย์ ดวงสร้อยทอง
ตามที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า " เชื่อกันว่า กาหลอเป็นเสียงฆ้องกลองสวรรค์
ทั้งนี้เพราะมีความเชื่อกันว่า สมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่
ณ วัดแห่งหนึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ จากลานวัดมีบันไดทอดลงไปในแม่น้ำ สำหรับพระภิกษุชำระร่างกาย
มีเด็กวัด 2 คนเป็นเด็กซุกซนมาก ชอบมาใช้บันไดท่าน้ำมากกว่าคนอื่น ๆ พระอธิการวัดได้ห้ามปรามแล้ว
แต่เด็กไม่เชื่อฟัง ท่านจึงนำเอา " หลาว " ไปปักไว้ แต่เด็กที่ไปเล่นที่ท่าน้ำก็มิได้ถูกหลาวตำ
ต่อมา พระอธิการรู้สึกร้อนจัด ได้กระโดดลงไปในน้ำทันที โดยลืมเรื่องหลาวที่ท่านปักเอาไว้
หลาวอันนั้นก็ตำถูกตรงหน้าอกท่าน พระภิกษุลูกวัดได้พยายามช่วยเหลือแต่ไม่สำเร็จ
จึงไปทูลพระพุทธเจ้า ๆ จึงเสด็จไปดึงพระอธิการพร้อมหลาวเหล็กขึ้นมา และเรียกประชุมสงฆ์ภายในวัดนั้น
เพื่อแสดงภูมิรู้และพระธรรมวินัย เมื่อทราบถึงความรู้ความสามารถของพระภิกษุ
พระพุทธองค์จึงทรงแต่งตั้งภิกษุเหล่านั้นตามความรู้ความสามารถ คือ เป็นท่านกาแก้ว
ท่านการาม ท่านกาชาด และท่านกาเดิม ( ตำแหน่งทั้ง 4 เป็นตำแหน่งพระครูผู้ช่วยรักษาพระบรมธาตุทั้ง
4 ทิศ โดยเชื่อว่า พระเจ้าศรีธรรมโศกราช ทรงเป็นผู้แต่งตั้ง เพื่อดูแลพระบรมธาตุเมืองนคร
ซึ่งจะพบชื่อตำแหน่งนี้ในหัวเมืองปักษ์ใต้ที่มีพระบรมธาตุ เช่น ไชยา นครศรีธรรมราช
พัทลุง ) และอีก 2 รูป ( ไม่ปรากฏนาม ) ส่วนอีกรูปเป็นพระภิกษุที่มาทีหลังสุด
เมื่อเลิกประชุมแล้ว เพื่อให้สามารถแสดงธรรมในวันทั้งเจ็ด จึงทรงให้ชื่อ ตำแหน่งว่า
" กาหลอ " ตามคำบอกเล่าของผู้ให้ความรู้ว่า " หลอ "
หมายถึง " ขาด " หรือไม่มาประชุม เมื่อพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแล้ว
พระภิกษุทั้ง 7 รูปมาประชุมพร้อมกันว่าจะจัดอะไรเป็นพุทธบูชาพระบรมศพ ท่านกาเดิมได้คิดทำปี่ขึ้นมาเลาหนึ่ง
ท่านการามคิดทำโทน ( ทน ) ขึ้นมา ท่านกาแก้วคิดทำโทนเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ใบ
ส่วนท่านกาชาดคิดทำฆ้องขึ้นมา แล้วใช้เครื่องดนตรีเหล่านี้ตีบรรเลงแห่นำพระบรมศพของพระพุทธเจ้า
และครั้งนั้นนับเป็นการบรรเลงหรือแสดงกาหลอครั้งแรก
|
|
เครื่องดนตรีกาหลอ
1. ปี่กาหลอ ปี่กาหลอมี 7 รู มากกว่ารูปี่ไฉน 1
รู คือรูปี่ไฉนหรือปี่ชวามี 6 รู รูข้างใต้เรียกว่า " ทองรี "
เวลานำศพเคลื่อนออกจากบ้านห้ามไม่ให้มีเสียงรูทองรีออกมา
2. โทน โทนมี 2 ใบ เรียกโทนยืนกับโทนหลัก โทนยืนเป็นโทนที่ใช้ตีเป็นตัวยืนในการบรรเลง
ส่วนโทนหลัก เป็นโทนที่ใช้คอยตีหลัก ตีหยอก เพื่อให้เกิดความสนุกยิ่งขึ้น
3. ฆ้อง แต่เดิมมี 2 ใบ แต่มาในระยะหลัง ๆใช้เพียงใบเดียว
และมักเลือกฆ้องที่มีเสียงก้องกังวาลเสียงดังไปไกล
เพลงกาหลอ
เพลงที่คณะกาหลอใช้บรรเลงนั้นมีทั้งหมด 12 เพลง
คือ เพลงสร้อยทอง เพลงจุดไต้ เพลงสุริยัน เพลงคุมพล เพลงทองศรี เพลงแสงทอง
เพลงนกเปล้า เพลงทองท่อม เพลงตั้งซาก ( ศพ ) เพลงยายแก่ เพลงโก้ลม เพลงสร้อย
และเพลงซัดผ้า การบรรเลงเพลงกาหลอนั้นก็เป็นไปตามความเชื่อ เช่น ตอนไหว้ครูใช้เพลงสร้อยทอง
เพลงจุดไต้ เพลงสุริยัน เพลงคุมพล เวลานำศพเคลื่อนไปที่สามสร้าง ( เชิงกราน
- เชิงตะกอน ) จะบรรเลงเพลงตั้งซาก เพลงยายแก่ บรรเลงเพื่อขอไฟจากยายแก่มาจุดเผาศพ
เพลงโก้ลม ( เรียกลม ) บรรเลงเพื่อขอลมให้มาช่วยพัดกระพือไฟให้ติดดีขึ้น
เพลงสร้อย เพลงซัดผ้า จะบรรเลงตอนซัดผ้าข้ามโลงศพขณะจุดไฟเผาศพ ตอนกลางคืนใช้เพลงทองศรี
ตอนเช้าใช้เพลงนกเปล้า เพลงแสงทอง บางคณะบอกว่าตั้งแต่เพลงที่ 1 - 12 จะใช้บรรเลงเฉพาะตอนนำศพไปป่าช้าเท่านั้น
โอกาสอื่นจะไม่บรรเลง ซึ่งเรื่องนี้แล้วแต่ความเชื่อของกาหลอแต่ละคณะ และในแต่ละท้องถิ่นมักจะแตกต่างกันออกไป
การแสดงและโรงพิธี
กาหลอจะต้องมีโรงแสดงโดยเฉพาะ และต้องสร้างตามแบบที่เชื่อถือกัน
หากสร้างผิดแบบกาหลอจะไม่ยอมแสดง การปลูกสร้างโรงกาหลอ ต้องให้ประตูที่เข้าสู่โรงอยู่ทางทิศใต้
มีเสาจำนวนหกเสา มีเสาดั้ง เสาสี่เสานั้นแต่ละข้างให้ใช้ขื่อได้ แต่ส่วนกลางไม่ให้ใช้ขื่อ
หลังคามุงด้วยจากหรือแชง ส่วนพื้นจะยกสูงไม่ได้ ใช้ไม้ทำเป็นหมอนทอดบนพื้น
แล้วหาไม้กระดานมาปูเรียบเป็นพื้น ส่วนแปทูบ้านเจ้าภาพจะตรงกับแปทูโรงกาหลอไม่ได้
เมื่อคณะกาหลอมาถึงไปถึงจะตรวจโรงพิธี หากเรียบร้อยดีก็จะเข้าไปภายในโรงพิธี
หากตรวจแล้วพบข้อผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว ก็จะต้องให้เจ้าภาพแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน
คณะกาหลอจึงจะเข้าไป การเดินเข้าโรงพิธี จะให้นายปี่ซึ่งถือว่าเป็นนายโรงเดินนำหน้าพาคณะเข้าไป
นายปี่จะเดินไปที่ห้องของตัว ส่วนผู้ตีฆ้องและนายโทน จะหยุดอยู่แค่ห้องของตัว
จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือล่วงล้ำเข้าไปในห้องนายปี่ไม่ได้ คือ นายปี่อยู่ห้องหนึ่ง
ส่วนนายโทนและผู้ที่ตีฆ้องอยู่รวมกันอีกห้องหนึ่ง เมื่อเข้าไปในโรงพิธีแล้ว
หากยังไม่ถึงเวลา ( เลยเที่ยงวัน ) จะออกไปไหนมาไหนไม่ได้ ( บางคณะก็ไม่เคร่งครัดนัก
) แต่มีข้อห้ามว่า นอกจากหมากพลูและบุหรี่แล้ว ห้ามมิให้บริโภคสิ่งใดภายนอกโรงพิธีเป็นเด็ดขาด
หากจะบริโภคต้องนำเข้าไปบริโภคภายในโรงพิธีและห้ามยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงในทางชู้สาว
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก่อนลงมือแสดง เจ้าภาพจะต้องจัดเตรียมจัด
" ที่สิบสอง " หมายถึงอาหารหวานคาว ได้แก่ ข้าว แกง เหล้า น้ำ
ขนม ฯ ล ฯ จัดใส่ถ้วยใบเล็ก ๆ วางไว้ในภาชนะ ( ถาด ) ให้ครบ 12 อย่าง เหมือนการจัดสำรับกับข้าวของไทยสมัยก่อน
และที่ถ้วยทุกใบจะมีเทียนไขเล่มเล็ก ๆปักอยู่ อีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า "
เครื่องราชย์ " มีเงิน 12 บาท หมาก 9 คำ ด้ายริ้ว 3 ริ้ว ข้าวสาร เทียนไข
1 เล่ม ทุกอย่างใส่รวมกันใน " สอบหมาก " ( ลักษณะคล้ายกระสอบ แต่มีขนาดเล็ก
เป็นภาชนะใส่หมากพลูของคนเฒ่าคนแก่ทางปักษ์ใต้เมื่อสมัยก่อน ) เมื่อนายโรงได้ที่สิบสอง
และเครื่องราชย์มาแล้วก็จะทำพิธีบวงสรวงครูบาอาจารย์ รำลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วลงมือแสดง
เริ่มต้นด้วยเพลงไหว้ครู คือเพลงสร้อยทองและเพลงอื่น ๆ
ข้อปฏิบัติของคณะกาหลอ
คณะกาหลอมีข้อปฏิบัติมากมาย เช่น การรับประทานอาหาร
เมื่อเจ้าภาพจัดสำรับกับข้าวมาครั้งแรกกี่สำรับก็ตาม ครั้งต่อ ๆ ไปจะต้องจัดมาเท่าเดิม
จะขาดไม่ได้ แต่หากจะจัดมาเพิ่มมากกว่าครั้งแรกก็จะเป็นการดียิ่งขึ้น อาหารการกินจะต้องไม่ปะปนกับใคร
เจ้าภาพจะต้องแยกปรุงต่างหาก และขณะที่กำลังแสดงอยู่จะพูดทักทายกับใครภายนอกโรงหรือจะชักชวนใครให้เข้ามานั่งในโรงพิธีไม่ได้
เพราะถือว่าเหมือนกับการชักผีให้เข้ามาในโรงพิธี หรือแม้แต่จะออกจากบ้านเมื่อรับงานใครแล้ว
ได้เวลาเดินทางก็จะหยิบเครื่องดนตรีของตนแล้วลงเรือนไปเลย แม้พ่อ แม่ บุตร
หรือภรรยาเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจะกลับไปจับต้องหรือดูแลไม่ได้ ในระหว่างที่สามีไปแสดงกาหลอ
ผู้เป็นภรรยาที่อยู่ข้างหลังจะทาแป้งแต่งตัวหรือคบชู้ไม่ได้ จะเป็นอันตรายแก่สามีอาจถึงตายได้
เมื่อสามีกลับมาบ้านตอนเลิกแสดงแล้ว ภรรยาจะต้องเป็นผู้ตักน้ำวางไว้ที่บันไดบ้านเพื่อให้สามีใช้น้ำนี้ล้างเท้า
และต้องเป็นน้ำที่ภรรยาเป็นผู้ตักจริง ๆ ส่วนผู้ที่จะเป็นหัวหน้าคณะกาหลอได้
จะต้องเรียนรู้คาถาอาคม หรือพิธีการทางกาหลอให้ได้อย่างสมบูรณ์และจะเป็นได้เมื่ออายุล่วง
40 ปีแล้วเท่านั้น
เท่าที่กล่าวมาจะเห็นว่า เรื่องของกาหลอมีข้อปฏิบัติและความเชื่อมากมาย
เครื่องดนตรีโดยเฉพาะปี่ก็เล่นยาก ต้องเรียนรู้และยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กาหลอเสื่อมความนิยมจากผู้เล่นและผู้รับ ประจวบกับความเจริญสมัยใหม่เข้ามาแทนที่
จนในปัจจุบันเราจึงหาดูการแสดงกาหลอในงานศพแม้แต่ในชนบทได้ยากเต็มที ทั้ง
ๆ ที่กาหลอเป็นดนตรีงานศพที่ถ่ายทอดความรู้สึกที่โศกเศร้า เสียงอันโหยหวนของปี่และฆ้อง
เหมาะกับการบรรเลงในงานศพก็ตาม น่าที่เราคนรุ่นหลังจะได้หาทางศึกษา ค้นคว้าความเป็นมาและพิธีการ
หรือหาทางส่งเสริมเพื่อรักษาเอกลักษณ์ของปักษ์ใต้และชาวพัทลุงเอาไว้ ก่อนที่คนเฒ่าคนแก่ผู้เล่นกาหลอ
หรือกาหลอดนตรีงานศพจะหายสาบสูญไปในที่สุด
หนังสือที่ใช้อ้างอิง
- กฤตวิทย์ ดวงสร้อยทอง
" กาหลอ ดนตรีงานศพ " ในวารสาร มศว. ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 มกราคม
- มิถุนายน 2518 หน้า 65 - 82
- ชวน เพชรแก้ว " กาหลอ " ศิลปวัฒนธรรม
นครศรีธรรมราช ศูนย์วัฒนธรรมวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช 2522 หน้า 69 - 79
- สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ " หนังตะลุง
" มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา ร่วมกับมูลนิธิเอเซียจัดพิมพ์เผยแพร่
ศิลปวัฒนธรรม จังหวัดพัทลุง ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง โรงพิมพ์พัทลุง พ.
ศ 2526
เรียบเรียงโดย
อ.ชัยยันต์ ศุภกิจ อดีตอาจารย์ โรงเรียนบ้านท่ามิหรำ อ.เมือง จ.พัทลุง
|